Timeline จดหมาย ความทรงจำ กับ ความหวังของคนจักรยาน
ผมมีโอกาสได้ไปชมภาพยนต์ไทยเรื่อง
“Timeline จดหมาย ความทรงจำ” ของผู้กำกับ
นนทรีย์ นิมิตรบุตร ซึ่งโดยปกติผมจะไม่ค่อยเข้าโรงหนังเนื่องด้วยค่าตั๋วของหนังมันไม่บาลานซ์กับรายได้ของผม(ใช้วิธีการซื้อแผ่นมาดูแทน) แต่ที่เข้าไปชมเนื่องจากทราบมาว่าเป็นเนื้อเรื่องต่อจากหนังเรื่อง
“The Letter จดหมายรัก” ซึ่งเป็นหนังในดวงใจและเคยทำให้ผมน้ำตาตกมาแล้วและอีกเหตผลที่สำคัญคือ “ตัวเอกในหนังเรื่องนี้ ใช้
"จักรยานเป็นพาหนะ” ดังนั้นค่าใช้จ่ายเข้าโรงหนังจึงไม่ใช่ปัญหา
หนังจบความรู้สึกไม่จบ
หลังจากได้ชมหนังจบก็ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย รับรู้ได้เลยว่าหนังเรื่องนี้เคมีเข้ากับผมได้ดีเลยทีเดียวซึ่งมีหลายอย่างในหนังมันทัชกับความรู้สึกผมเต็มๆ และคิดว่าคงต้องหาโอกาสชมอีกหลายรอบ ในส่วนของพล็อตเรื่องนั้นเกี่ยวกับ
ความรักและการตามหาความฝันซึ่งตัวแสดงนำมีหลายคนทำให้หนังเรื่องนี้มีหลายปมทำให้ไม่มีปมใหนเด่นออกมาชัดเจน และในแต่ละปมนั้นสามารถเชื่อมโยงเข้ากันได้ลงตัวไม่กระโดดมากนัก ที่สำคัญหนัง
สามารถผสมแนวฟิลกู๊ดกับดราม่าได้อย่างลงตัว
นอกเหนือจากการใช้ปมเรื่องราวความรักความฝันผ่านการสื่อสารโดยใช้
จดหมาย และเฟสบุ๊ก (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหนัง Timeline) ในหนังก็ยังมี
กิมมิกให้หนังน่าสนใจยิ่งขึ้นอีกสองอย่าง อย่างแรกคือการใช้แอนนิเมชั่นที่เป็นการ์ตูนดูน่ารักทำให้ผู้ชมยิ้มได้กับกับความน่ารักนี้และอย่างที่สอง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยพูดถึง(แต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเข้าไปดู) คือการใช้จักรยานตลอดการดำเนินเรื่องซึ่งตัวเอกทุกตัวในเรื่องมีเอี่ยวกับจักรยานหมดเลยมากน้อยต่างกัน
Timeline จดหมาย ความทรงจำ กับ ความหวังของคนจักรยาน
ผมมีโอกาสได้ไปชมภาพยนต์ไทยเรื่อง “Timeline จดหมาย ความทรงจำ” ของผู้กำกับ นนทรีย์ นิมิตรบุตร ซึ่งโดยปกติผมจะไม่ค่อยเข้าโรงหนังเนื่องด้วยค่าตั๋วของหนังมันไม่บาลานซ์กับรายได้ของผม(ใช้วิธีการซื้อแผ่นมาดูแทน) แต่ที่เข้าไปชมเนื่องจากทราบมาว่าเป็นเนื้อเรื่องต่อจากหนังเรื่อง “The Letter จดหมายรัก” ซึ่งเป็นหนังในดวงใจและเคยทำให้ผมน้ำตาตกมาแล้วและอีกเหตผลที่สำคัญคือ “ตัวเอกในหนังเรื่องนี้ ใช้ "จักรยานเป็นพาหนะ” ดังนั้นค่าใช้จ่ายเข้าโรงหนังจึงไม่ใช่ปัญหา
หนังจบความรู้สึกไม่จบ
หลังจากได้ชมหนังจบก็ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย รับรู้ได้เลยว่าหนังเรื่องนี้เคมีเข้ากับผมได้ดีเลยทีเดียวซึ่งมีหลายอย่างในหนังมันทัชกับความรู้สึกผมเต็มๆ และคิดว่าคงต้องหาโอกาสชมอีกหลายรอบ ในส่วนของพล็อตเรื่องนั้นเกี่ยวกับความรักและการตามหาความฝันซึ่งตัวแสดงนำมีหลายคนทำให้หนังเรื่องนี้มีหลายปมทำให้ไม่มีปมใหนเด่นออกมาชัดเจน และในแต่ละปมนั้นสามารถเชื่อมโยงเข้ากันได้ลงตัวไม่กระโดดมากนัก ที่สำคัญหนังสามารถผสมแนวฟิลกู๊ดกับดราม่าได้อย่างลงตัว
นอกเหนือจากการใช้ปมเรื่องราวความรักความฝันผ่านการสื่อสารโดยใช้ จดหมาย และเฟสบุ๊ก (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหนัง Timeline) ในหนังก็ยังมีกิมมิกให้หนังน่าสนใจยิ่งขึ้นอีกสองอย่าง อย่างแรกคือการใช้แอนนิเมชั่นที่เป็นการ์ตูนดูน่ารักทำให้ผู้ชมยิ้มได้กับกับความน่ารักนี้และอย่างที่สอง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยพูดถึง(แต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเข้าไปดู) คือการใช้จักรยานตลอดการดำเนินเรื่องซึ่งตัวเอกทุกตัวในเรื่องมีเอี่ยวกับจักรยานหมดเลยมากน้อยต่างกัน